ความซับซ้อนที่ต่ำที่สุด

ทิ้งตัวชี้วัดทางเทคนิคและสูตรที่ซับซ้อนทั้งหมดไว้เบื้องหลัง มาให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงราคาตามระดับสูงต่ำเพื่อที่จะตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางและความแข็งแรงของ“แนวโน้ม” เพียงแค่สามองค์ประกอบ: ราคาปิด, ราคาสูงสุด, ราคาต่ำสุด ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาชี้ให้เห็นทุกอย่าง (ราคาปิดในตลาด Forex มักจะเชื่อมโยงกับราคาปิดของวันก่อน ดังนั้นจึงสามารถละไว้ได้) ตัวอย่างเช่น หากดูที่กราฟรายวัน กราฟรายสัปดาห์และรายเดือนก็ใช้ได้เช่นกัน.

แนวโน้มขาขึ้น

แนวโน้มขาขึ้นคือ ราคาปิดสูงกว่าราคาสูงสุดของเมื่อวาน ยิ่งสูงห่างจากราคาก่อนหน้ามากก็ยิ่งแสดงว่าแนวโน้มมีความแข็งแรงมากขึ้น (คุณสามารถแบ่งเป็นขาขึ้นที่แข็งมากและขาขึ้นทั่วไป) เมื่อแปลงเป็นกลยุทธ์การซื้อขาย จะพิจารณาแต่การซื้อ ไม่พิจารณาการขาย ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งซื้อ.

แนวโน้มขาลง

แนวโน้มขาลงคือ ราคาปิดต่ำกว่าราคาต่ำสุดของเมื่อวาน ยิ่งต่ำห่างจากราคาก่อนหน้ามากก็ยิ่งบ่งบอกว่าแนวโน้มมีความอ่อนแอ (คุณสามารถแบ่งเป็นขาลงที่อ่อนมากและขาลงทั่วไป) เมื่อแปลงเป็นกลยุทธ์การซื้อขายเพียงพิจารณาการขาย ไม่พิจารณาการซื้อ ยิ่งอ่อนแอยิ่งขาย.

แนวโน้มการแกว่งตัว

แนวโน้มการแกว่งตัวคือ ราคาปิดอยู่ระหว่างราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดของเมื่อวาน ขอบเขตของการแกว่งตัวที่กว้างยิ่งจะทำให้ยากต่อการทะลุและยิ่งรักษาตัวออกไว้นาน การแปลงเป็นกลยุทธ์การซื้อขายคือ ไม่ไล่ซื้อ ไม่ไล่ขาย เพียงแค่ซื้อเมื่อราคาต่ำและขายเมื่อราคาสูง.

ความง่ายและความใช้ได้จริง

ดูสิ! นี่ไม่ง่ายเหรอ? สิ่งที่ง่ายสามารถนำไปใช้ได้จริง! หากผู้ซื้อขายไม่สามารถมองเห็นปรากฏการณ์ง่ายๆในแนวโน้มนี้ เขาก็แน่นอนว่าจะจมอยู่ในโลกแห่งความคิดส่วนตัว โดยขายในแนวโน้มขาขึ้นและซื้อในแนวโน้มขาลง ตัวชี้วัดซับซ้อนเช่น MACD, KD, RSI และคลื่นอื่นๆ มีประโยชน์อะไร? พวกมันทำให้ผู้คนห่างไกลจากตลาดมากขึ้น บางคนบอกว่า สถานการณ์ในตลาดซับซ้อนกว่าที่คุณพูดไว้ บ่อยครั้งที่ดูเหมือนจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น แต่พอซื้อกลับตกลงมา โอเค! นั่นแหละคือการขาดทุน ขาดทุนในสิ่งที่ต้องขาดทุนไม่มีอะไรจะพูด ไม่มีวิธีการใดที่ถูกต้อง 100% หากมีอัตราความแม่นยำ 50% บวกกับการคัดกรองโอกาส และการจัดการความเสี่ยง ก็สามารถชนะได้เช่นกัน!