การนิยามของนักเทรดที่มีความยอดเยี่ยม

การนิยามนักเทรดที่ยอดเยี่ยมคือความสามารถในการทำกำไรอย่างมั่นคงในระยะยาว ไม่ใช่การรวยทันทีในคืนเดียว เป็นการทำกำไรบ่อย ๆ ไม่ใช่การทำกำไรจำนวนมาก ในตลาดทุน ผู้ที่ประสบความสำเร็จทุกคนล้วนต้องอาศัยการสะสมในระยะยาว นักเทรดมืออาชีพมุ่งเน้นหากำไรที่เชื่อถือได้ภายใต้ความเสี่ยงต่ำ ในขณะที่นักเทรดมือสมัครเล่นสนใจเฉพาะการสร้างกำไรสูงสุดและพอใจในความรุ่งโรจน์ชั่วคราว การลงทุนในระดับสูงและการดำเนินการบ่อยครั้งเป็นสิ่งที่นักเทรดมือสมัครเล่นทำ ในขณะที่นักเทรดมืออาชีพเป็นอีกด้านหนึ่งและมีความแตกต่างที่ชัดเจน

การเปลี่ยนแปลงของนักเทรด

นักเทรดมักจะเริ่มจากการเทรดตามอารมณ์ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นการเทรดที่มีสติสัมปชัญญะและสิ่งที่เน้นความเป็นจริง นี่คือกระบวนการสะสมและยกระดับ พฤติกรรมการเทรดยังเปลี่ยนจากการกระทำที่ไม่รู้ตัวไปสู่การกระทำที่มีสติ

คำพูดที่ชอบมาก

ฉันชอบพูดว่า “กำไรเป็นผลผลิตจากความเสี่ยง ไม่ใช่เป็นผลผลิตจากความปรารถนา” กำไรใด ๆ ต้องแบกรับความเสี่ยงบางอย่างเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทน แต่อย่างไรก็ตามตราบใดที่วิธีคิดของเราถูกต้อง ความสามารถในการรับความเสี่ยงของเราจะมีความมั่นใจมากขึ้น

การจัดการความกลัวในการเทรด

ในการเทรด ควรเอาชนะความกลัวภายในของตนเอง ใช้ความรู้ในการจัดการอารมณ์ของเรา ความกลัวที่เกิดขึ้นในการเทรดจะนำไปสู่ความสับสนทางยุทธศาสตร์ และในที่สุดจะกลายเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เราต้องทำการเทรดที่เราควรทำ ไม่ใช่การเทรดที่เราอยากทำ ตลาดไม่ใช่สถานที่ที่คุณมาหาความตื่นเต้น หรือระบายอารมณ์ เราควรตั้งเป้าหมายให้มุ่งเป้าไปที่สิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ (การหยุดขาดทุนและการทำกำไร) งานที่เราไม่สามารถควบคุมได้ควรปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบของตลาด (กำไรและขาดทุน)

การดำเนินการตามกลยุทธ์การเทรด

เมื่อกำหนดกลยุทธ์การเทรดแล้ว ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่ควรลังเล เปิดเข้าไปแล้วไม่สามารถถอยหลังได้ “ความลังเล” ควรอยู่ในขั้นตอนการวางกลยุทธ์ หากมีสัญญาณและยืนยันได้ก็ต้องเข้าไป ไม่มีการลังเลในการจะเข้า หากไม่ได้ออกก็ต้องไม่เข้าหมายฤทธิ์; การหยุดขาดทุนและการทำกำไรจะต้องเด็ดขาด ความคิดที่มีโชคอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรง

การควบคุมอารมณ์และจิตใจตัวเอง

การควบคุมอารมณ์และทัศนคติของตนเองเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง อะไร ๆ อาจจะพังทลาย แต่เราต้องไม่พังทลาย เชื่อในกลยุทธ์ ไม่ใช่เชื่อว่ากลยุทธ์จะถูกต้องเสมอ แต่เชื่อว่าเหตุการณ์ที่มีความน่าจะเป็นสูงจะเกิดขึ้น รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของตลาดนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หากคุณยอมรับสิ่งนี้แล้วจะไม่มีความลังเลมากเกินไป เหตุการณ์ที่มีความน่าจะเป็นสูง ถ้ามันเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็รอครั้งหน้า เพราะความน่าจะเป็นสูง ดังนั้นจึงไม่ทำให้คุณต้องใช้ทรัพยากรมากเกินไปในการรอ